" โรคตาขี้เกียจ "

1996 จำนวนผู้เข้าชม  | 

"  โรคตาขี้เกียจ  "

 อาการของโรคตาขี้เกียจ

โรคนี้ค่อนข้างสังเกตได้ยาก และตัวเด็กเองก็อาจแยกออกไม่ออกว่าเกิดอาการกับดวงตาข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่ ยกเว้นในกรณีที่มองเห็นความผิดปกติจากดวงตาได้ชัดเจน ผู้ป่วยมักมีอาการ ดังนี้ 

• การมองเห็นของดวงตาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้างแย่ลง

• มีอาการตาเหล่ ต้องเอียงศีรษะหรือปิดตาไว้ข้างหนึ่ง เพื่อให้มองเห็นได้ชัด

• การกะระยะหรือวัดความห่างระหว่างวัตถุกับสิ่งอื่น ๆ ทำได้ยาก 

• ดวงตาเบนเข้าด้านในหรือออกด้านนอก 

• ปวดศีรษะ


 ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคตาขี้เกียจ

เด็กบางกลุ่มอาจมีความเสี่ยงทำให้มีโอกาสในการเป็นโรคนี้มากกว่าปกติเมื่อมีปัจจัยกระตุ้น ดังนี้

• เด็กที่มีตาเหล่หรือตาเข 

• มีค่าสายตาสั้นหรือสายตายาวสูงมากทั้ง 2 ข้าง 

• มีค่าสายตาทั้ง 2 ข้าง ไม่เท่ากัน โดยข้างหนึ่งอาจสั้นหรือยาวมากกว่าอีกข้างหนึ่ง• มีสภาวะบางอย่างที่ทำให้แสงเข้าตาได้ไม่ปกติ เช่น เป็นต้อกระจก หนังตาตก เป็นต้น

• มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคตาขี้เกียจ ตาเขหรือตาเหล่

• เด็กที่คลอดก่อนกำหนดหรือคลอดออกมาน้ำหนักตัวน้อย

• มีความผิดปกติทางด้านพัฒนาการ


 การรักษาโรคตาขี้เกียจ

การตรวจพบตาขี้เกียจตั้งแต่เด็กจะมีโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้สูงกว่าเมื่อพบตอนเป็นผู้ใหญ่ การรักษาก่อนอายุ 7 ปี จะได้ผลดีมากที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการพัฒนาดวงตาและสมองส่วนที่ควบคุมการมองเห็น แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงอายุ 7-9 ปีขึ้นไป การรักษาอาจทำได้ยากมากขึ้นตามอายุ อย่างไรก็ตามในช่วงอายุไม่เกิน 17 ปี การตอบสนองต่อการรักษายังเป็นไปได้ด้วยดี มีหลายวิธีในการรักษาดังนี้

• สวมแว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ ช่วยแก้ไขปัญหาสายตาของผู้ป่วยที่มีความต่างระหว่างสายตาทั้ง 2 ข้างมาก จึงทำให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนและสั่งการสมองให้ทำงานประสานกับดวงตาข้างที่อ่อนแอมากขึ้น เพื่อพัฒนาสายตาทั้ง 2 ข้างให้มีการทำงานเท่ากันและเป็นไปตามปกติ

• ใส่ที่ครอบตาในตาข้างที่ดี เพื่อกระตุ้นให้ตาข้างที่ไม่ดีได้ใช้งานมากขึ้น ตามที่แพทย์แนะนำ

• ใช้ยาหยอดตาเพื่อให้ตาข้างที่ดีมัวลง ตามที่แพทย์แนะนำ

• การผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีสาเหตุตาขี้เกียจ จากตาเขหรือตาเหล่ หนังตาตก และการรักษาในวิธีข้างต้นไม่ได้ช่วยให้ตำแหน่งของสายตากลับมาเป็นปกติ
การป้องกันโรคตาขี้เกียจ เด็กทุกคนมีโอกาสในการเกิดโรคตาขี้เกียจ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยง หากเป็นเด็กทารกแรกเกิดไปจนถึงเด็กที่มีอายุ 6-12 เดือน พ่อแม่ควรหมั่นสังเกตอาการของทารกและพบแพทย์ตามนัดการตรวจสุขภาพของเด็กอย่างสม่ำเสมอ ส่วนเด็กที่อยู่ในช่วงวัยก่อนเข้าเรียนหรืออายุประมาณ 3-4 ปี ควรเข้ารับการตรวจวัดสายตาเป็นประจำ เพื่อการตรวจพบโรคได้ตั้งแต่ในระยะเนิ่น ๆ และรักษาได้ทันท่วงที นอกจากนี้ ผู้ที่มีสายตาผิดปกติหรือดวงตาเกิดความผิดปกติควรรีบพบจักษุแพทย์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้เพื่อประสบการณ์การใช้บริการเว็บไซต์ที่ดีที่สุดของท่าน นอกจากนี้ท่านสามารถศึกษารายละเอียดและวิธีการตั้งค่าการควบคุมคุกกี้ของเราได้ ที่นี่ นโยบายความเป็นส่วนตัว นโยบายคุกกี้